บทที่ 5 การวัดการกระจายของข้อมูลและค่ามาตรฐาน
บทที่ 5 การวัดการกระจายของข้อมูลและค่ามาตรฐาน
5.1 การวัดการกระจายของข้อมูล
การวัดการกระจายของข้อมูล (Measures of Dispersion) จากความหมายการคำนวณและการใช้ค่ากลางชนิดต่าง ๆ ถ้าพิจารณาให้ละเอียด จะเห็นว่าการทราบแต่เพียงค่ากลางของข้อมูลไม่เพียงพอที่จะอธิบายการแจกแจงของข้อมูลชุดนั้น ค่ากลางแต่ละชนิดมิได้บอกให้ทราบว่า ค่าจากการสังเกตทั้งหลายในข้อมูลชุดนั้นต่างจากค่ากลางมากน้อยเพียงใด และค่าส่วนใหญ่อยู่ร่วมกลุ่มกันหรือกระจายออกไป สมมติว่า คะแนนสอบวิชาหนึ่งของนักเรียน 2 ห้อง ซึ่งใช้ข้อสอบชุดเดียวกันมีค่าเลขเฉลี่ยเลขคณิตเท่ากัน คือ 67 แต่ ห้องแรกมีคะแนนสูงสุด 72 และคะแนนต่ำสุด 62 ส่วนห้องหลังมีคะแนนสูงสุด 97 และคะแนนต่ำสุด 25 จะเห็นว่า คะแนนสูงสุดกับคะแนนต่ำสุดของห้องแรกต่างกันเพียง 10 คะแนน แต่ห้องหลังคะแนนต่างกันถึง 72 คะแนน แสดงว่าหลังนี้มีการกระจายของคะแนนสูงกว่าห้องแรก ซึ่งอาจกล่าวได้ว่านักเรียนห้องแรกส่วนใหญ่สอบได้คะแนนใกล้เคียงกัน แต่นักเรียนห้องหลังสอบได้คะแนนต่างกัน เพื่อให้เห็นลักษณะของข้อมูลที่ชัดเจนขึ้นจึงจำเป็นต้องทราบทั้งค่ากลางและค่าซึ่งแสดงการกระจายของข้อมูลด้วย
5.2 วิธีการวัดการกระจายของข้อมูล
วิธีที่ใช้วัดการกระจายของข้อมูลมีอยู่ด้วยกันหลายวิธี แต่วิธีที่นิยมใช้กันมีอยู่ 2 วิธี คือ พิสัย(Rage) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)
5.2.1 พิสัย (Rage)
พิสัย คือ ค่าใช้วัดการกระจายที่ได้จากผลต่างระหว่างข้อมูลที่มีค่าสูงสุด และข้อมูลที่มีค่าต่ำสุด
ถ้า x1,x2,x3,…,Xn เป็นค่าของข้อมูลชุดหนึ่ง พิสัยของข้อมูลนี้เท่ากับ
พิสัย = Xmax - Xmin หรือ พิสัย = ค่าสูงสุด-ค่าต่ำสุด
ตัวอย่างที่ 5.1 จงหาพิสัยของผลผลิตน้ำตาลของ 6 ประเทศที่ผลิตได้ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2552จากตารางต่อไปนี้
ประเทศ
|
จีน
|
สหรัฐอเมริกา
|
ไทย
|
อินเดีย
|
ออสเตรเลีย
|
บราซิล
|
ผลผลิต
(ล้านตัน)
|
10.92
|
8.07
|
7.00
|
15.06
|
5.11
|
27.66
|
วิธีทำ จากตารางพบว่า พิสัยของผลผลิตน้ำตาลของทั้ง 6 ประเทศ คือ
พิสัย = ผลผลิตสูงสุด - ผลผลิตต่ำสุด
= 27.66-5.11
พิสัย = 22.55 ล้านตัน
ดังนั้น ผลผลิตน้ำตาลมากที่สุดและน้อยที่สุดต่างกัน 22.55 ล้านตัน
ตัวอย่างที่ 5.2 จงหาค่าพิสัยของน้ำหนักของนักศึกษา 10 คน ดังนี้
62 45 56 55 58 47 51 60 51
วิธีทำ พิสัย = น้ำหนักมากที่สุด- น้ำหนักน้อยที่สุด
= 65-45
พิสัย = 20
ดังนั้น นักศึกษามีน้ำหนักมากที่สุดและน้อยที่สุดต่างกัน 20 กิโลกรัม
ถ้าเป็นข้อมูลแจกแจงความถี่โดยแบ่งเป็นอันตรภาคชั้นต่าง ๆ แล้ว
พิสัย คือ ผลต่างระหว่างขอบบนของอันตรภาคชั้นของข้อมูลที่มีค่าสูงสุดและขอบล่างของอันตรภาคชั้นของข้อมูลที่มีค่าต่ำสุด
ถ้าอันตรภาคชั้นแรกหรืออันตรภาคชั้นสุดท้าย อันตรภาคชั้นใดชั้นหนึ่งหรือทั้งสองอันตรภาคชั้นเป็นอันตรภาคชั้นเปิด ย่อมหาพิสัยไม่ได้
การวัดการกระจายโดยใช้พิสัยนี้ เป็นวิธีการกระจายอย่างคร่าวๆ เพราะค่าที่ได้หามาจากค่าของข้อมูลเพียงสองค่าเท่านั้น ค่าอื่น ๆ ของข้อมูลไม่ได้นำมาใช้ในการคำนวณหาพิสัย ดังนั้นถ้าค่าของข้อมูลใดข้อมูลหนึ่งมีค่ามากหรือน้อยผิดปกติจากค่าของข้อมูลอื่น ๆ อาจมีผลทำให้การวัดการกระจายโดยใช้พิสัยมีค่าสูงกว่าที่ควรจะเป็นจริงมาก ความถูกต้องที่ได้จากการวัดการกระจายโดยนี้จึงอาจมีน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับการวัดการกระจายโดยวิธีอื่น ๆ ที่ใช้ค่าของข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่ แต่การวัดการกระจายโดยใช้พิสัยมีข้อดีที่สามารถวัดได้รวดเร็ว ส่วนใหญ่จึงมักใช้วัดการกระจายของข้อมูลในกรณีซึ่งไม่ต้องการความถูกต้องมากนัก
5.2.2 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)
การวัดการกระจายข้อมูลโดยใช้ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เป็นวิธีที่นักสถิติยอมรับว่าเป็นวิธีที่ใช้วัดการกระจายได้ดีที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับวิธีการวัดการกระจายโดยใช้พิสัย ทั้งนี้เนื่องจากการวัดการกระจายโดยวิธีนี้ใช้ข้อมูลทุก ๆ ค่า หรือมีตัวแทนของข้อมูลทุกค่ามาคำนวณ และขจัดปัญหาในการที่ต้องใช้ค่าสัมบูรณ์ให้หมดไป การวัดการกระจายโดยวิธีนี้นอกจากจะได้ค่ากระจายที่มีความละเอียดถูกต้องและเชื่อถือได้มากที่สุดแล้ว ยังสามารถนำไปใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลสถิติใชชั้นสูงต่อไป ซึ่งการวัดการกระจายข้อมูลแบบอื่นนำไปใช้ไม่ได้
1. การหาส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของข้อมูลที่ไม่ได้แจกแจงความถี่
ถ้า X1, X2, X3,…,Xn เป็นข้อมูลของประชากร N หน่วย และมีค่าเฉลี่ยเลขคณิตเป็น µ แล้ว ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของประชากร หรือ (อ่านว่า Sigma) สามารถคำนวณได้ดังนี้
รูปภาพ
โดยที่ µ แทนค่าเฉลี่ยเลขคณิตของประชากร
และ N แทนจำนวนข้อมูลทั้งหมดของประชากร
นอกจากการใช้สัญลักษณ์ แล้ว อาจใช้สัญลักษณ์ S.D. หรือ s ในกรณีที่ไม่สามารถศึกษาข้อมูลทั้งหมดของประชากร และข้อมูลที่ใช้เป็นข้อมูลจากตัวอย่างซึ่งเป็นตัวแทนของประชากรแล้ว ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของตัวอย่าง
(Sample Standard Deviation หรือ s ) ซึ่งใช้เป็นตัวประมาณของ คำนวณได้ดังนี้
รูปสมการ
โดยที่ × แทนค่าเฉลี่ยเลขคณิตของตัวอย่าง
และ n แทนจำนวนข้อมูลทั้งหมดของตัวอย่าง
อนึ่งในทางปฏิบัติ ข้อมูลที่มักใช้เป็นข้อมูลที่เป็นตัวอย่างของประชากรจึงนิยมใช้สูตร sแทน เพราะโดยทั่วไปไม่ทราบค่า ดังนั้นในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงสถิติจึงนิยมใช้ s เป็นตัวประมาณของ อยู่เสมอ
อย่างไรก็ตามในเบื้องต้น อาจทราบเพียงว่าสูตรการคำนวณส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของตัวอย่างมีตัวหาร 2 แบบ คือ แบบที่หารด้วย n-1 และแบบที่หารด้วย n เช่น ที่เห็นได้จากสูตรบนเครื่องคิดเลขบางเครื่องที่อาจใช้สัญลักษณ์ n-1 และ n ตามลำดับ การหารด้วย n-1 จะให้ค่า S.D. หรือ sข้างต้นสูงกว่าค่าของ s ที่ใช้ตัวหารเป็น n และการหารด้วย n-1 ยังสนับสนุนการอนุมานหรือการอ้างอิงเชิงสถิติ
(Statistic Inference) ในเรื่องสมบัติต่าง ๆ ของตัวประมาณ ถ้าสูตรของ s ที่ใช้ตัวหาร 2 แบบนี้ ให้ผลลัพธ์ต่างกันมาก อาจบอกได้ว่าขนาดตัวอย่างที่ใช้เล็กเกินไป และถ้าขนาดตัวอย่างมากขึ้น ผลลัพธ์ดังกล่าวจะใกล้เคียงกัน ดังนั้นเมื่อตัวอย่างมีขนาดใหญ่มากหรือในระดับประชากรค่าที่คำนวณได้จากสูตร 2 สูตรมีค่าไม่ต่างกัน ในทางปฏิบัติจึงนิยมใช้สูตรที่มีตัวหาร n-1 มากกว่าใช้ n
ตัวอย่างที่ 5.3 จงหาส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนการแข่งขันทักษะวิชาชีพ
Microsoft Office ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ในการแข่งขันทักษะวิชาชีพระดับชาติ ครั้งที่ 20 ณ จังหวัดร้อยเอ็ด จากตัวแทนทั้งหมด 6 ภาคที่เข้าร่วมการแข่งขันมีผลคะแนนดังนี้
ตัวแทนภาค
|
อศจ.
|
คะแนน (Xi)
|
กลาง
|
อศจ. ลพบุรี
|
196
|
ตะวันออกเฉียงเหนือ
|
อศจ. ร้อยเอ็ด
|
139
|
เหนือ
|
อศจ. เชียงใหม่
|
99
|
ใต้
|
อศจ. สงขลา
|
61
|
ตะวันออก
|
อศจ. ชลบุรี
|
34
|
ตะวันตก
|
อศจ. กาญจนบุรี
|
16
|
รวม
|
545
|
วิธีทำ จากตารางคะแนนการแข่งขันทักษะวิชาชีพ นำไปหา xi ได้ดังนี้
ตัวแทนภาค
|
อศจ.
|
คะแนน (Xi)
|
Xi
|
กลาง
|
อศจ. ลพบุรี
|
196
|
38416
|
ตะวันออกเฉียงเหนือ
|
อศจ. ร้อยเอ็ด
|
139
|
19321
|
เหนือ
|
อศจ. เชียงใหม่
|
99
|
9801
|
ใต้
|
อศจ. สงขลา
|
61
|
3721
|
ตะวันออก
|
อศจ. ชลบุรี
|
34
|
1156
|
ตะวันตก
|
อศจ. กาญจนบุรี
|
16
|
256
|
รวม
|
545
|
72671
|
นั่นคือ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนการแข่งขันทักษะวิชาชีพ Microsoft Office ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ในการแข่งขันทักษะวิชาชีพระดับชาติ ครั้งที่ 20 ณ จังหวัดร้อยเอ็ด เท่ากับ 62.14 คะแนน
เมื่อ Xi แทนจุดกึ่งกลางของอันตรภาคชั้นที่ i
Fi แทนความถี่ของอันตรภาคชั้นที่ i
K แทนจำนวนอันตรภาคชั้น
N แทนจำนวนข้อมูลทั้งหมดในประชากร หรือผลรวมของความถี่ของทุก ๆ อันตรภาคชั้น
µ แทนค่าเฉลี่ยเลขคณิตของข้อมูลทั้งหมด
ความแปรปรวน คือ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานยกกำลังสอง ความแปรปรวนของข้อมูล ประชากรที่ไม่ได้แจกแจงความถี่ หาได้โดยใช้สูตร
Xi แทนจุดกึ่งกลางของอันตรภาคชั้นที่ i
2. การหาส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของข้อมูลตัวอย่างที่แจกแจงความถี่แล้ว
การหาส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (s) จากข้อมูลตัวอย่างของข้อมูลที่มีจำนวนมากหรือน้อยก็ตาม ทำได้ทำนองเดียวกันกับกรณีของข้อมูลที่ไม่แจกแจงความถี่ ซึ่งค่าที่จะได้เป็นค่าประมาณและในปัจจุบันถ้ามีข้อมูลดิบทุกหน่วย (ข้อมูลของแต่ละหน่วยที่ยังไม่ได้แจกแจงความถี่) จะสามารถใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ช่วยคำนวณได้สะดวก ไม่ว่าข้อมูลจะมีจำนวนมากหรือน้อยเพียงไร อย่างก็ตามถ้ามีกรณีที่ข้อมูลไม่ใช่ข้อมูลดิบทุกหน่วย แต่เป็นข้อมูลที่มาจากแหล่งทุติยภูมิอื่น ๆ ซึ่งข้อมูลมีการแจกแจงความถี่เป็นอันตรภาคชั้นหรือเป็นกลุ่มมาแล้ว สามารถใช้สูตรการหาส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ดังนี้
โดยที่ X แทนค่าเฉลี่ยเลขคณิตจากข้อมูลตัวอย่าง
N แทนจำนวนตัวอย่างทั้งหมด
K แทนจำนวนอันตรภาคชั้นหรือจำนวนกลุ่ม
Xi แทนจุดกึ่งกลางของอันตรภาคชั้นที่ i
ความแปรปรวนของตัวอย่าง (Sample Variance)
ความแปรปรวนตัวอย่างทั้งกรณีไม่แจกแจงความถี่และแจกแจงความถี่ คือ กำลังสองของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของข้อมูลตัวอย่างในทั้งสองกรณีตามลำดับ
ดังนั้น ความแปรปรวนตัวอย่างคำนวณได้ดังนี้
โดย Fi แทนความถี่ของอันตรภาคชั้น i
Xi แทนจุดกึ่งกลางของอันตรภาคชั้น i
K แทนจำนวนอันตรภาคชั้น
N แทนจำนวนตัวอย่างทั้งหมด
ตัวอย่างที่ 5.4 จงหาความแปรปรวนและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานโดยประมาณจากจำนวนวันหยุดของนักศึกษา จำนวน 50 คน ที่แสดงไว้ในตารางต่อไปนี้
จำนวนวันหยุด
|
จำนวนนักเรียน
|
0-2 วัน
|
15
|
3-5 วัน
|
20
|
6-8 วัน
|
12
|
9-11 วัน
|
2
|
12-14 วัน
|
1
|
วิธีทำ จากข้อมูลข้างต้นนำมาสร้างตารางใหม่ได้ดังนี้
s2 = 2.83
นั่นคือ โดยเฉลี่ยจำนวนวันหยุดของนักศึกษาแต่ละคนจะต่างกันจากจำนวนวันหยุดโดยเฉลี่ยของนักศึกษาทั้ง 50 คน อยู่ 2.83 วัน และความแปรปรวนของจำนวนวันหยุดของนักศึกษาทั้ง 50 คน มีค่าเท่ากับ 8.02 วัน
ตัวอย่างที่ 5.5 จงหาส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของอายุขัย (Longevity) ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 10 ประเภท ประเภทละ 1 ตัว ดังตารางต่อไปนี้
สัตว์เลี้ยง
(ตัวที่)
|
ประเภท
|
อายุขัย
|
ค่าเฉลี่ย
|
Xi-X
|
Xi-x2
|
1
|
แมว
|
12
|
11
|
1
|
1
|
2
|
วัว
|
15
|
11
|
4
|
16
|
3
|
สุนัข
|
12
|
11
|
1
|
1
|
4
|
ลา
|
12
|
11
|
1
|
1
|
5
|
แพะ
|
8
|
11
|
-3
|
9
|
6
|
หนูตะเภา
|
4
|
11
|
-7
|
49
|
7
|
ม้า
|
20
|
11
|
9
|
81
|
8
|
หมู
|
10
|
11
|
-1
|
1
|
9
|
กระต่าย
|
5
|
11
|
-6
|
36
|
10
|
แกะ
|
12
|
11
|
1
|
1
|
รวม
|
110
|
0
|
196
|
หมายเหตุ อายุขัย หมายถึง การสิ้นอายุ ความตาย อัตรากำหนดอายุจนสิ้นอายุ
วิธีทำ
ดังนั้น สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมด้วยนมข้างต้นมีอายุขัยโดยเฉลี่ยประมาณ 11 ปี และมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของอายุขัยประมาณ 4.67 ปี
ดังนั้น สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมด้วยนมข้างต้นมีอายุขัยโดยเฉลี่ยประมาณ 11 ปี และมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของอายุขัยประมาณ 4.67 ปี
สรุปสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับค่าเฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และจำนวนข้อมูลที่ใช้เป็นดังนี้
ประชากร (พารามิเตอร์) ตัวอย่าง(ตัวประมาณ)
|
ค่าเฉลี่ยเลขคณิต µ X
ส่วนเบี่ยงเบน s หรือ S.D.
จำนวนข้อมูล N n
|
5.3 ค่ามาตรฐาน
ค่ามาตรฐาน หมายถึง การเปรียบเทียบค่าของข้อมูลตั้งแต่สองค่าขึ้นไปที่มาจากข้อมูลคนละชุดมีความแตกต่างกันหรือไม่เพียงไร อาจมีมาตราวัดที่แตกต่างกันหรือมีหน่วยต่างกัน
บางครั้งไม่สามารถเปรียบเทียบโดยตรงได้ ทั้งนี้เนื่องจากค่าเฉลี่ยเลขคณิตของข้อมูลแต่ละชุดและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานมักจะไม่เท่ากัน เช่น ต้องการเปรียบเทียบผลการเรียนวิชาภาษาอังกฤษและวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนคนใดคนหนึ่งในชั้นว่า
เรียนวิชาไหนดีกว่ากัน แม้ว่าจะทำได้โดยดูจากคะแนนสอบของวิชาทั้งสองโดยปรับให้มีคะแนนเต็มเท่ากัน ถ้าคะแนนสอบของวิชาใดดีกว่าก็สรุปผลว่านักเรียนคนนั้นเรียนวิชานั้นได้ดีกว่า ซึ่งจะเห็นได้ว่าเป็นการสรุปผลที่ยังไม่ถูกต้องนักเพราะค่าเฉลี่ยเลขคณิต หรือส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนสอบวิชาทั้งสองของนักเรียนทั้งหมดในชั้นอาจจะไม่เท่ากัน ทั้งนี้อาจจะเนื่องมาจากเนื้อหาหรือข้อสอบของทั้งสองวิชามีความยากง่ายต่างกัน หรือครูผู้สอนแต่ละวิชามีวิธีการสอนที่จะทำให้นักเรียนมีความเข้าใจในวิชานั้นๆ ต่างกัน เป็นต้น ดั้งนั้นเพื่อที่จะให้การเปรียบเทียบมีความถูกต้องมากขึ้น จึงมีความจำเป็นต้องแปลงคะแนนของวิชาทั้งสองที่นักเรียนคนนั้นสอบได้ให้เป็นคะแนนมาตรฐานหรือค่ามาตรฐาน(ซึ่งมีค่าเฉลี่ยเลขคณิตแต่ละส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากันเสียก่อน) โดยใช้สูตรค่ามาตรฐานแล้วจึงเปรียบเทียบคะแนนวิชาทั้งสอง การแปลงค่าข้อมูลของตัวแปรแต่ละตัวให้เป็นค่ามาตรฐานนี้โดยทั่วไปคือ การเปลี่ยนแปลงข้อมูลให้เป็นค่ามาตรฐานที่มีค่าเฉลี่ยเลขคณิตเท่ากับ 0 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1

s
โดยที่ Xi แทน ค่าที่ i ของตัวแปร X

S แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของตัวอย่าง
n แทน จำนวนตัวอย่าง
ตัวอย่างที่ 5.6 นักเรียนคนหนึ่งสอบวิชาภาษาอังกฤษและวิชาคณิตศาสตร์ซึ่งมีคะแนนเต็ม 100คะแนนเท่ากัน ได้ 72 คะแนน และ 75 คะแนน ตามลำดับ ถ้าค่าเฉลี่ยเลขคณิตและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนสอบวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนห้องนี้เป็น 70 และ 10 คะแนน และของคะแนนสอบวิชาคณิตศาสตร์เป็น 73 และ 16 คะแนน ตามลำดับ จงเปรียบเทียบดูว่านักเรียนคนนี้เรียนรายวิชาไหนดีกว่ากัน

10
ค่ามาตรฐานของคะแนนสอบวิชาภาษาอังกฤษ = 0.20

16
ค่ามาตรฐานของคะแนนสอบวิชาคณิตศาสตร์ = 0.125
ดังนั้น ค่ามาตรฐานของคะแนนสอบวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนคนนี้สูงกว่าค่ามาตรฐานของคะแนนสอบวิชาคณิตศาสตร์ แสดงว่านักเรียนคนนี้เรียนวิชาภาษาอังกฤษได้ดีกว่าวิชาคณิตศาสตร์ ตอบ
ตัวอย่างที่ 5.7 คะแนนสอบวิชาภาษาไทยของนักศึกษาห้องหนึ่งมีค่าเฉลี่ยเลขคณิตและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเป็น 73 และ 16 ตามลำดับ ถ้าค่ามาตรฐานของคะแนนสอบวิชานี้ของนักเรียนคนหนึ่งในห้องนี้ คือ 0.2 อยากทราบว่านักเรียนคนนี้สอบได้กี่คะแนน
ตัวอย่างที่ 5.8 ในการสอบปรากฏค่าเฉลี่ยของการสอบเป็น 80 คะแนน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเป็น10 และในการตัดสินใจผลสอบผู้ที่ได้คะแนนมาตรฐานตั้งแต่-1 จะถือว่าสอบผ่าน ปรากฏว่ามีนักเรียนคนหนึ่งสอบได้ 75 คะแนน ต้องการทราบว่านักเรียนคนนี้สอบผ่านหรือสอบตก
วิธีทำ จากสูตร Zi = Xi-X

10

10
Zi = -0.5
ดั้งนั้น นักเรียนคนนี้สอบผ่าน เนื่องจากค่า Z มากกว่า-1 ตามเกณฑ์การตัดสินผลสอบ
https://www.youtube.com/watch?v=B7FuX1eUkPg
ความคิดเห็น